เชื่อว่าคอบันเทิงฝั่งจีนหลายคนแอบชื่นชมความสามารถของ “เซียวจ้าน” นักร้องนักแสดงมากฝีมือที่มีผลงานจ่อออนแอร์อยู่มากมาย และอยากทำความรู้จักกับ “ฉงชิ่ง” บ้านเกิดที่หล่อหลอมความเป็นคนน่ารักและมีทัศนคติที่ดีกันอยู่แน่ ๆ จากที่เซียวจ้านเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับมหานครแห่งนี้มาหลายรอบ บวกกับการพูดสำเนียงฉงชิ่งออกรายการหลายครั้ง หลายคนเลยคิดจะจัดแพลนเที่ยวตามรอยพระเอกหนุ่มบ้าง วันนี้เราเลยจัดให้! กับลิสต์ 3 ที่เที่ยวเด่นสุดปังในฉงชิ่งที่ไม่เหมือนที่ไหน ๆ และคุณต้องไปเช็กอินกันให้ได้สักครั้งในชีวิต

 

Hongyadong

ประเดิมที่แรกกันด้วย “หงหยาต้ง” ที่เที่ยวฉงชิ่งที่เป็นแลนด์มาร์กปรากฏอยู่บนภาพวาดและโปสการ์ดมากมาย ที่นี่เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ในรูปแบบอาคารไม้โบราณ มีทั้งร้านขายของและร้านอาหารสารพัด ความไม่เหมือนใครของที่นี่ก็คือ เป็นห้างที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลังตามสไตล์จีนโบราณ พอตกเย็นทางห้างก็จะเริ่มเปิดไฟประดับในโคมสีแดง ให้บรรยากาศแบบดั้งเดิมท่ามกลางตึกสูงมากมายใจกลางเมือง

 

Chao Tian Men

เฉาเทียนเหมิน เป็นบริเวณที่แม่น้ำใหญ่ถึง 2 สายไหลมาบรรจบกัน ได้แก่แม่น้ำเจียหลง ซึ่งจะไหลมาบรรจบกับแม่น้ำแยงซี ที่นี่มีวิวของสะพานเฉาเทียนเหมินข้ามแม่น้ำแยงซี และยังมีสำนักผังเมืองฉงชิ่ง ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ เอาไว้ เมื่อมองออกไปโดยรอบจะเห็นความเจริญของหนึ่งในสี่มหานครของประเทศจีนแบบเต็มตา

 

Wulong Karst

อุทยานแห่งชาติหลุมฟ้า 3 สะพานสวรรค์ เป็นที่เที่ยวในฉงชิ่งที่มีความเป็นมาน่าตื่นตาตื่นใจ เพราะเกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก จึงกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่และลึก สามารถมาเดินเท้าศึกษาธรรมชาติ หรือแวะไปถ่ายรูปที่ระเบียงกระจกให้รู้สึกหวาดเสียวเล่นก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสสัมผัสกับโรงเตี๊ยมโบราณ ซึ่งเป็นจุดแวะพักระหว่างทางของคนสมัยก่อนที่ยังคงอนุรักษ์รูปแบบกันไว้ให้ดู

 

Dazu Grottoes

ปิดท้ายกันด้วยผาหินแกะสลักต้าจู๋ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสามารถของคนโบราณที่แกะสลักหน้าผาออกมาเป็นรูปพระโพธิสัตว์และรูปอื่น ๆ ตามคติความเชื่อของศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า และขงจื๊อ ผาแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่เขียวขจี ตัวผลงานมีอายุกว่าพันปี และได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ถือเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวในฉงชิ่งที่น่าไป

 

นอกจากสถานที่เด่น ๆ ทั้ง 4 ที่นี่แล้ว ความจริงแค่ได้เดินเล่นในตัวเมืองฉงชิ่ง ทุกคนก็จะได้พบกับความน่าสนใจมากมายของวัฒนธรรมความเป็นอยู่ในแถบเสฉวน และที่เด่นที่สุดก็คือภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสลับซับซ้อนจนบางที ดาดฟ้าของตึกแห่งหนึ่งอาจเทียบเท่ากับชั้น 1 ของตึกอีกหลังหนึ่งก็ได้ ใครอยากไปพิสูจน์คำพูดของเซียวจ้านที่ว่า ถ้าขี่จักรยานที่ฉงชิ่ง คุณอาจตายได้ (เพราะเมืองอยู่บนเขา) ก็เซฟลิสต์นี้ไว้สำหรับทริปหน้าเลย! …

หลายคนอาจมองว่า เสน่ห์ของภาพยนตร์แต่ละเรื่องได้ถูกจำกัดไว้ที่บท ฝีมือการแสดง การดำเนินเรื่องเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่รู้หรือไม่? ดีเทลเล็ก ๆ ภายในเรื่องอย่างการจัดวางภาพ การใช้สี รวมไปถึงอุปกรณ์เสริมในฉากต่าง ๆ เองก็สามารถช่วยเก็บเล็กผสมน้อยทำให้ภาพยนตร์แต่ละเรื่องแตกต่างและมีเสน่ห์ได้ไม่แพ้กัน ซึ่งหากใครเป็นคอหนังคลาสสิคในยุคทองของฮอลลีวูดช่วงปี 1950s ไปจนถึง 1970s แล้ว วันนี้ เราขอชวนคุณย้อนวันวานหาอดีตไปพร้อม 3 Classic Cocktails จาก 3 ภาพยนตร์อมตะที่ใคร ๆ ก็รู้จัก บอกได้เลยว่า เครื่องดื่มสุดเย้ายวนใจที่เราเลือกสรรมาในวันนี้มีตั้งแต่รสขมซ่อนเปรี้ยวไปจนถึงรสแสนหวานที่อาจทำให้คุณลุ่มหลงได้ จะมีอะไรกันบ้าง มาดูกันเลย!

French 75 จาก Casablanca (1942)

ขอเริ่มต้นบทความด้วยภาพยนตร์สุดอมตะของ Michael Curtiz อย่าง Casablanca ที่ออกฉายครั้งแรกในปี 1942 และนำแสดงโดยดาวค้างฟ้าของวงการอย่าง Humphrey Bogart ที่เปิดตัวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยการเข้าชิงออสการ์ถึง 3 รางวัล ซึ่ง French 75 นั้นเป็นหนึ่งใน Classic Cocktail ที่เป็นการผสมผสานระหว่าง Gin, Champaign และน้ำมะนาวอย่างลงตัว พร้อมตัดความเปรี้ยวออกมาเล็กน้อยด้วยน้ำเชื่อม ซึ่งโดยรวมแล้ว รสชาติของ Cocktail แก้วนี้ถือเป็นการผสมผสานรสชาติที่สื่อถึงความเปรี้ยวขมปนหวานของบรรดาตัวละครท่ามกลางยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นอย่างดี หากใครอยากรู้ว่ารสชาติ Dilemma ของ Rick และ Ilsa เป็นอย่างไร บอกเลยว่าต้องลิ้มลอง Cocktail สูตรนี้พร้อมดื่มด่ำบรรยากาศภาพยนตร์ไปพร้อมกัน 

 

Mississippi Punch จาก Breakfast at Tiffany’s (1961)

เป็นไปไม่ได้เลยถ้าจะไม่นึกถึง Audrey Hepburn หากพูดถึง Breakfast at Tiffany’s ซึ่งภายใต้การจิกกัดสังคมและรักโรแมนติกระหว่างนักภาษาศาสตร์และสาวชาวบ้านนี้ รายละเอียดเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่อย่าง Mississippi Punch ที่แม่สาว Holly Golightly ของเราจิบและดื่มอยู่ก็น่าสนใจไม่น้อย หลาย ๆ คนอาจมองว่า Mississippi Punch ดูไร้เดียงสาและเป็นเครื่องดื่มของสาว ๆ แต่รู้หรือไม่? ว่าส่วนผสมในเครื่องดื่มนี้กับแสดงให้เห็นถึงคำกล่าวที่ว่า “Don’t judge the book by its cover” ได้เป็นอย่างดี เพราะ ส่วนผสมหลักของ Cocktail ตัวนี้ประกอบไปด้วยเหล้าชั้นดีอย่าง Cognac และ Bourbon อยู่ ซึ่งตัวเครื่องดื่มนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงทั้งอดีตและตัวตนของสาวน้อยผู้นี้ที่ถึงจะขมและฟาดมากเท่าไหร่ แต่หาก Cognac และ Bourbon ทนต่อการบ่มหมักไปได้นานเท่าไหร่ ราคาและรสชาติก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น

 

Negroni จาก The Roman Spring of Mrs Stone (1962)

The Roman Spring of Mrs. Stone เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายของ …