หมวดหมู่: Health

 

สุขภาพช่องปากเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมของเรา เพราะฟันและเหงือกที่แข็งแรงจะช่วยให้เรารับประทานอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนพูดและยิ้มได้อย่างมั่นใจ ดังนั้น การไปหาทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพช่องปาก สำหรับใครที่อาศัยอยู่แถวรังสิต วันนี้เรามี 3 คลินิกทันตกรรมย่านตลาดรังสิต ซึ่งให้บริการโดยแพทย์เฉพาะทางมาแนะนำ !

 

คลินิกทันตกรรมแถวตลาดรังสิต มีที่ไหนบ้าง

1. SWC Dental

SWC Dental หรือ คลินิกทันตแพทย์สว่าง เป็นคลินิกทันตกรรมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในย่านตลาดรังสิต ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2518 โดยทันตแพทย์สว่าง ชาตริยานุโยค คลินิกแห่งนี้ให้บริการด้านทันตกรรมครบวงจร โดยทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีประสบการณ์มากกว่า 40 ปี

SWC Dental ให้ความสำคัญกับคุณภาพการรักษาและความปลอดภัยของคนไข้เป็นอันดับแรก โดยใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัย สะอาด และปลอดภัย โดยบริการของคลินิกนั้นครอบคลุมทุกความต้องการด้านทันตกรรม ไม่ว่าจะเป็น

• ทำฟันทั่วไป เช่น อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน เคลือบฟัน เป็นต้น
• จัดฟัน
• รักษารากฟัน
• ทันตกรรมประดิษฐ์ เช่น สะพานฟัน ครอบฟัน รากเทียม  

2. ศูนย์ทันตกรรมรังสิต

ศูนย์ทันตกรรมรังสิต เป็นคลินิกทันตกรรมหน้าตลาดรังสิตที่ให้บริการด้านทันตกรรมครบวงจร ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2536 ประกอบไปด้วยทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีประสบการณ์ดูแลสุขภาพช่องปากให้แก่คนไข้มานานกว่า 25 ปี มีจุดเด่นด้านการให้คำปรึกษาและบริการแบบอบอุ่น เป็นกันเอง และครอบคลุมหลายด้าน เช่น

• ขุดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน
• ผ่าฟันคุด ตัดแต่งกระดูก
• รักษาโรคเหงือกและรากฟัน
• จัดฟัน
• ทันตกรรมรากเทียม

3. ลำเทียนเด็นตัลคลินิก ทันตกรรม สาขาตลาดรังสิต

ลำเทียนเด็นตัลคลินิก ทันตกรรม สาขาตลาดรังสิต เป็นคลินิกทันตกรรมที่ให้บริการด้านทันตกรรมทั่วไปโดยทันตแพทย์มืออาชีพ มีจุดเด่นที่ราคาไม่แพง เริ่มต้นเพียง 500 บาท เรียกได้ว่าเป็นคลินิกทันตกรรมย่านตลาดรังสิตอีกหนึ่งแห่งที่แนะนำหากต้องการทำทันตกรรมทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น

• อุดฟัน 
• ถอนฟัน 
• ขูดหินปูน 
• เคลือบฟัน

 

การไปพบทันตแพทย์เป็นประจำ นอกจากจะทำให้เรารู้เท่าทันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายในช่องปากแล้ว ยังเป็นโอกาสให้เราได้พูดคุยกับทันตแพทย์เกี่ยวกับเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพช่องปากที่ถูกต้องเพื่อลดการเกิดปัญหาด้วย อย่างไรก็ดี การเลือกคลินิกทันตกรรมควรพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความต้องการด้านทันตกรรม ที่ตั้งของคลินิก ค่าใช้จ่าย

 …

ไข้หวัดคือการติดเชื้อไวรัสที่สามารถทำให้เกิดไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลีย เป็นโรคติดต่อที่แพร่กระจายทางอากาศเมื่อผู้ติดเชื้อไอหรือจาม แม้ว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะช่วยป้องกันไข้หวัดได้ แต่ก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพ 100% นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงในการป่วย หนึ่งในวิธีธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการป้องกันคือเป็นหวัดกินวิตามินซี แต่วิธีนี้จะได้ผลจริงหรือไม่ หาคำตอบได้ในบทความนี้

วิตามินซี หรือที่เรียกว่ากรดแอสคอร์บิก เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำซึ่งจำเป็นต่อสุขภาพของมนุษย์ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ วิตามินซียังมีความสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิว กระดูก และหลอดเลือดแข็งแรง นอกจากนี้ วิตามินซียังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง

 

บทบาทของวิตามินซีในระบบภูมิคุ้มกันนั้นซับซ้อนและมีหลายแง่มุม วิตามินซีช่วยกระตุ้นการผลิตและการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ อีกทั้งยังเสริมการทำงานของ Natural Killer Cell ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่สามารถทำลายไวรัสและเซลล์มะเร็งได้ วิตามินซียังช่วยเพิ่มการผลิตอินเตอร์ฟีรอน ซึ่งเป็นโปรตีนที่รบกวนการจำลองแบบของไวรัสและช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

 

งานวิจัยหลายชิ้นได้ตรวจสอบผลของการเป็นหวัดกินวิตามินซี ในการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients ในปี 2017 นักวิจัยได้วิเคราะห์ผลการทดลองทางคลินิก 11 การทดลองที่มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 8,587 คน การศึกษาพบว่าเป็นหวัดกินวิตามินซีเป็นประจำช่วยลดระยะเวลาของไข้หวัดโดยเฉลี่ย 8% ในผู้ใหญ่และ 14% ในเด็ก การศึกษายังพบว่าการเสริมวิตามินซีช่วยลดความรุนแรงของอาการไข้หวัด รวมทั้งอาการไอ มีไข้ และความเมื่อยล้า

 

การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Advances in Nutrition ในปี 2019 ศึกษาผลของการรักษาด้วยวิตามินซีในปริมาณสูงต่อผู้ป่วยไข้หวัดในโรงพยาบาล การศึกษาพบว่าการรักษาด้วยวิตามินซีทางหลอดเลือดดำช่วยลดระยะเวลาของอาการไข้หวัดโดยเฉลี่ย 1.2 วัน และลดความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยวิกฤต

 

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วเป็นหวัดกินวิตามินซีจะปลอดภัยและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี แต่สิ่งสำคัญที่ควรทราบก็คือการได้รับวิตามินซีในปริมาณสูงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ และปวดท้อง สิ่งสำคัญคือต้องพูดคุยกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพก่อนที่จะเริ่มสูตรอาหารเสริมใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีโรคประจำตัวหรือใช้ยาใดๆ

 

มีหลายวิธีในการเป็นหวัดกินวิตามินซีในอาหารเพื่อช่วยต่อสู้กับไข้หวัด ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว และเกรปฟรุต เป็นแหล่งวิตามินซีที่ดีเยี่ยม ผักและผลไม้อื่นๆ ที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ กีวี สตรอเบอร์รี่ มะละกอ พริกหยวก บรอกโคลี และคะน้า สิ่งสำคัญคือต้องรับประทานวิตามินซีจากอาหารทั้งมื้อทุกครั้งที่ทำได้ เนื่องจากอาหารทั้งมื้อมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์อื่นๆ ที่สามารถช่วยสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันของคุณ

 

นอกจากการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซีแล้ว คุณยังสามารถเป็นหวัดกินวิตามินซีแบบอาหารเสริมได้อีกด้วย ปริมาณวิตามินซีที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 75-90 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำให้รับประทานวิตามินซีในปริมาณที่สูงขึ้นเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะในช่วงฤดูไข้หวัดใหญ่ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกอาหารเสริมคุณภาพสูงจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียง เนื่องจากอาหารเสริมวิตามินซีบางชนิดอาจปนเปื้อนสารอันตราย

 …

เราต่างก็รู้กันดีว่า Zinc หรือสังกะสี เป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง เราจึงควรกิน Zinc อย่างเพียงพอในแต่ละวัน ทำให้หลายคนสงสัยว่า คำว่าเพียงพอในแต่ละวัน Zinc เราควรกินวันละเท่าไหร่ดี วันนี้เราจะมาบอกกัน รวมถึงอาหารที่อุดมไปด้วย Zinc ที่เราควรรับประทาน

ประโยชน์ของ Zinc

Zinc หรือสังกะสีเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายของเราขาดไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจากเป็นแร่ธาตุที่ช่วยดูแลระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ควบคุมกระบวนการทำงานของสารอาหารต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของเอนไซม์ ระบบย่อยและเผาผลาญอาหารของร่างกาย รวมถึงการช่วยดูแลผม เล็บ และผิวหนัง ที่สำคัญ Zinc ยังมีส่วนสำคัญในการดูแลและรักษาสิวอีกด้วย เราจึงควรกินอาหารที่มีส่วนประกอบของ Zinc เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอในแต่ละวัน คำถามสำคัญก็คือ Zinc เราควรกินวันละเท่าไหร่กันดี 

 

Zinc ควรกินวันละเท่าไหร่ 

ความจริงแล้วในแต่ละวันร่างกายไม่ได้ต้องการ Zinc จำนวนมากมายเท่ากับวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารอื่น ๆ แต่สิ่งสำคัญที่เราต้องมาร์กเอาไว้ในใจคือ ร่างกายของเราสังเคราะห์ Zinc เองไม่ได้ เราจึงได้ Zinc จากการกินอาหารเท่านั้น ดังนั้น หากว่าเราต้องการให้ร่างกายของเราทำงานอย่างสมบูรณ์ เราจึงควรกิน Zinc ให้เพียงพอในแต่ละวัน 

Zinc เราควรกินวันละเท่าไหร่ คำตอบก็คือ แต่ละคน แต่ละวัยต้องการ Zinc ในปริมาณที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้ 

• เด็กทารก ควรได้รับวันละ 2-3 มิลลิกรัม 
• เด็กอายุ 6-12 ปี ควรได้รับวันละ 4-5 มิลลิกรัม 
• วัยรุ่น อายุประมาณ 13-18 ปี ควรได้รับวันละ 5-9 มิลลิกรัม 
• สำหรับผู้ใหญ่ ผู้หญิงควรจะได้รับวันละ 12 มิลลิกรัม และผู้ชายควรได้รับวันละ 15 มิลลิกรัม ส่วนผู้หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวันละ 14 มิลลิกรัม ผู้หญิงที่ให้นมบุตรควรได้รับวันละ 13 มิลลิกรัม 

 

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ชายจะต้องการ ZInc มากกว่าผู้หญิง ในแต่ละช่วงวัย เพราะต้องการ Zinc ไปใช้ในเรื่องของระบบสืบพันธ์ุให้สามารถทำงานได้ปกติ 

 

ขาด Zinc ระบบร่างกายรวนแน่

ตอนนี้เรารู้แล้วว่า Zinc ควรกินวันละเท่าไหร่ และหลายคนอาจจะคิดว่าในแต่ละวันร่างกายของเราต้องการ Zinc จำนวนไม่มากเท่าไหร่ ความคิดนี้ก็จริงอยู่ แต่ถึงไม่มาก ก็ขาดไม่ได้ เพราะ Zinc เป็นแร่ธาตุที่เป็นกำลังสำคัญของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภูมิคุ้มกัน การกำจัดและต้านเชื้อโรค การช่วยลดอาการอักเสบ เรียกว่าต้องการน้อย แต่ก็ขาดไม่ได้เด็ดขาดเลย 

ส่วนอาหารที่อุดมไปด้วย Zinc ที่เราควรรับประทานเป็นประจำก็ได้แก่ เนื้อหมู ไข่แดง หอยนางรม เห็ด ถั่วลิสง เมล็ดแตงโม 

 

ใครที่กำลังสงสัยว่า Zinc ควรกินวันละเท่าไหร่ คงจะได้คำตอบกันแล้ว แล้วอย่าลืมกินอาหารที่อุดมไปด้วย Zinc ร่างกายจะได้แข็งแรง …

สำหรับใครที่โดนมดกัดบ่อย ๆ หรือผู้ปกครองท่านใดที่ปล่อยลูกไปเล่นกับเพื่อน ๆ แล้วเจอมดกัด แมลงต่อยอยู่เป็นประจำ แล้วบางครั้งก็หายาทาไม่ทัน จึงอยากจะรู้ว่านอกจากยาทาสมัยใหม่แล้ว มีสมุนไพร หรือสารจากธรรมชาติตัวไหน ที่สามารถใช้แทนยาทาแก้คันจากมดกัดที่ใช้แล้วได้ผลจริง สามารถลดอาการคัน ปวด บวมได้ทันท่วงที อยากรู้ไปดูกันเลย 

 

• ตำลึง

 

สมุนไพรที่เอาไว้แทนยาทาแก้คันจากมดกัดตัวแรกที่เราขอแนะนำคือ ตำลึง เป็นตำลึงชนิดเดียวกับที่เรานำไปแกงจืด ที่เลื้อยขึ้นตามรั้วบ้าน กำแพงบ้าน และทอดยอดออกมามากมายนี่เอง ดังนั้น หากว่าเราหรือลูกเจอมดกัด แต่หายาทาแก้คันไม่ได้ แต่ตาไปเจอกับตำลึงที่เลื้อยอยู่ตามรั้วตามกำแพง เราก็สามารถเด็ดมาล้างน้ำ ขยี้หรือตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย แล้วทาบริเวณที่มดกัด ก็จะช่วยบรรเทาอาการได้ 

ในตำลึงนั้นมีสารที่ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย และต้านการอักเสบ ซึ่งจะลดอาการปวด บวม เนื่องมาจากถูกแมลงกัดได้เช่นเดียวกัน 

 

 

• กระเทียม

 

สำหรับบ้านใครที่ไม่มีตำลึงมาเลื้อยอยู่ริมรั้ว แล้วต้องหายาทาแก้คันเพราะถูกมดกัดอย่างเร่งด่วน ให้รีบวิ่งเข้าครัว หากระเทียมมาใช้แทนได้เลย เพราะในกระเทียมนั้น ก็มีสารที่ช่วยลดและบรรเทาอาการจากแมลงสัตว์กัดต่อยเช่นเดียวกัน 

สำหรับวิธีใช้นั้น ไม่ยากเลย เพียงแค่เราทุบกระเทียมให้พอแหลก จนมีน้ำออกมาเล็กน้อย แล้วนำมาทาบริเวณที่โดนมดกัด ก็จะช่วยบรรเทาอาการได้แล้ว 

 

 

• ใบพลู 

 

สมุนไพรตัวต่อไป ที่สามารถใช้แทนยาทาแก้คันจากมดกัดได้ก็คือ ใบพลู ที่คนสมัยก่อนเอาไว้กินกับหมาก หรือเอาไว้ห่อเมี่ยงนั่นเอง ซึ่งในใบพลูก็มีสารที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ อาการแพ้ ที่เกิดกับแมลงกัด มดกัด ซึ่งวิธีใช้แทนยาทาแก้คันจากมดกัด แมลงกัด ให้เรานำใบพลูมาตำผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณที่มดกัด ก็จะช่วยบรรเทาอาการได้เช่นเดียวกัน 

 

 

• หอมแดง 

 

สำหรับใครที่บ้านไม่ค่อยปลูกสมุนไพร แต่มีหอมแดงเอาไว้ทำกับข้าว แล้วโดนมดกัด เราสามารถใช้หอมแดงแทนยาทาแก้คันจากมดกัดได้เช่นเดียวกัน โดยเราสามารถใช้หอมแดงมาตำให้มีน้ำมันหอมระเหยมา จากนั้นก็ค่อยนำมาทาบริเวณที่มดกัด หรือนำไปผสมเหล้าขาว จากนั้นมาพอกก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน หอมแดงก็มีคุณสมบัติแก้อักเสบเช่นเดียวกันกับสมุนไพรตัวอื่น ๆ 

 

สำหรับใครที่กำลังมองหาตัวแทนของยาทาแก้คันจากมดกัด สามารถใช้สมุนไพรทั้ง 4 ชนิดนี้แทนได้ ใช้ได้ผลเช่นเดียวกัน ไม่ต้องวิ่งไปที่ร้านขายยาเพื่อหาซื้อยาทาแก้คัน 

 …